เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๖ เม.ย. ๒๕๔๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๔๗
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ดูอย่างภาษานะ ภาษามีเกิดมีตาย ภาษาเกิดขึ้นมาภาษาใหม่ภาษาวัยรุ่นก็แล้วแต่ชั่วคราว แต่ภาษาหนึ่งๆ ภาษาจะเกิดจะตาย แล้วจะมีภาษาหลักๆ ต่อไปจะมีภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาหลักๆ แต่ในภาษามันก็มีมากมายมหาศาลเลย เรื่องการเกิดการตายของภาษา ภาษายังมีการเกิดการตาย

เรื่องการเกิดการตายของสัตว์โลก ดูอย่างอาหารสิ การถนอมอาหาร มีการแช่เย็น มีการแช่แข็ง มีการแช่แข็งเพื่อส่งออกไปนี้เป็นการรักษากันทางวัตถุไง แต่จิตที่มันเกิดมันตาย มันเกิดมันตายในอำนาจของกรรม กรรมรักษาไว้ ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกสิ่งนี้เป็นไออุ่น ไออุ่นรักษาร่างกายไว้ เหมือนกับที่เขาแช่แข็ง เขาแช่แข็งเรื่องเนื้อสัตว์ เขาแช่แข็งได้ เขาส่งไปที่ไหนก็ได้ เพราะเขาแช่แข็งไว้มันจะไม่เน่าไม่เสีย แต่นี่เพราะกรรมรักษาเราไง ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก พลังงานอันนี้มีอยู่ ถ้าพลังงานนี้อยู่ นี่ตัวพลังงานมีอยู่มันถนอมรักษาไว้ให้ร่างกายนี้ไม่เปื่อยไม่เน่า

คนตายเมื่อไหร่ ไม่เกิน ๓ วัน ๗ วันมันต้องเปื่อยสภาพ แปรสภาพ ต้องเน่าเปื่อยไป นี่โดยธรรมชาติของมัน เห็นไหม การถนอมรักษาโดยอำนาจของกรรม ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกทำให้จิตนี้ดำรงชีวิตอยู่ในร่างกายนี้ แต่เวลาขาดออกไปเราก็ว่าขาดสูญๆ แล้วว่าไม่มี แต่ไม่เป็นไปตามความจริงหรอก ความจริงคือธาตุรู้ สสารตัวนี้มันมีอยู่ ในตัวสสารนั้นมันมีตัวอวิชชา คือตัวพลังงานที่มันไม่รู้ตัวมันเอง ถ้ามีอวิชชาอยู่นะมันมีพลังงาน แต่พลังงานก็เป็นไป เหมือนกับพวกพันธุ์พืช พันธุ์พืชมันมีชีวิตอยู่ มันตกที่ไหนมันก็เกิดที่นั่น

จิตนี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อมันมีอวิชชาอยู่นี่มันก็ต้องเกิดไปตามธรรมชาติของมัน นี่ภาษานี้เขายังเปลี่ยนแปลง มันมีการเกิดการตายตามภาษานี้ มันเป็นนามธรรม แต่จิตดวงนี้มันเกิดมันตายในสถานะของภพชาติที่เกิดเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ต่างๆ มันก็เกิด เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันก็ชั่วคราว มันก็ต้องตายไป แต่ตัวจิตใต้สำนึก ตัวจิตใต้สำนึก ตัวจิตก่อนสำนึก ตัวจิตเดิมแท้นะ จิตเดิมแท้ เห็นไหม ไปพลิกกันที่จิตเดิมแท้นั้น จิตเดิมแท้นี้พลิกที่จิตเดิมแท้ มันถึงเป็นการวิปัสสนา

วิปัสสนาคือการรู้แจ้ง วิปัสสนาคือการรู้แจ้งในสภาวะตามความเป็นจริง สภาวะตามความเป็นจริงที่วิปัสสนากันอยู่ในโลกนี้เป็นสภาวะที่เราสมมุติขึ้นมา สมมุติบัญญัติ พระพุทธเจ้ามีปัญญามากกว่านั้น บัญญัติสิ่งต่างๆ ขึ้นมา แล้วเราก็ไปกอดบัญญัติ แล้วเราก็เอาบัญญัตินั้นเป็นเป้าหมาย เป็นที่ว่าฉันรู้บัญญัติ ฉันรู้จริงตามความเป็นจริง แต่บัญญัตินั้นเป็นการชี้เข้าไปที่ใจ ชี้เข้าไปที่ความรู้สึกอันนั้น รู้แจ้งมันต้องรู้แจ้งจากสมมุติบัญญัติ

สมมุติบัญญัติ สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวะของธรรมนี้เป็นอนัตตา แต่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นเป็นอนัตตามันเป็นปัจจัตตัง บัญญัตินี้เป็นสาธารณะนะ ปัจจัตตังไม่เป็นสาธารณะ ปัจจัตตังเป็นความเห็นของใจดวงนั้น ถ้าเป็นความเห็นของใจดวงนั้นวิปัสสนาเกิดขึ้นจากใจดวงนั้น นี่คือสภาวธรรมที่เกิดขึ้นจากมรรค มรรคที่เกิดขึ้นมานี่มันจะย้อนกลับเข้าไปทำลายสภาวะที่จิตมันหมุนไปสภาวะแบบนั้นไง นี่ตัวนี้มันตัวพาเกิดพาตาย สิ่งที่พาเกิดพาตายนี้เป็นวัฏฏะ สิ่งที่เป็นวัฏฏะมันวนไปตามธรรมชาติของมัน แต่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นมามันเป็นปัจจุบันนี้ไง

เราถึงว่าเราเกิดเราตายในสภาวะหนึ่ง โอกาสที่จะประพฤติปฏิบัติมีขนาดไหน ผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินี่เห็นว่าภาษานี่กว่าจะตายได้เป็นหลายๆ ชั่วอายุคนนะ ต้องสืบต่อกันมา แต่ภาษาวัยรุ่นบัญญัติขึ้นมาเดี๋ยวมันก็ตาย ถ้าบัญญัติขึ้นมาในหมู่สี่ห้าคนนะ ถ้าเลิกใช้มันก็ตายสภาวะแบบนั้น

นี่ก็เหมือนกัน จิตเวลาตายในวัฏฏะ สัตว์บางชนิดมีอายุ ๗ วัน สัตว์บางชนิดมีอายุไม่กี่วัน สัตว์บางชนิด เห็นไหม มนุษย์เราว่ามีอายุ ๑๐๐ ปี เราภูมิใจมาก แต่เต่านี่สามร้อยสี่ร้อยปีเขาก็อยู่ของเขาได้ มันก็เป็นว่าชีวิตยาวไกลไม่ยาวไกล แล้วแต่อำนาจวาสนา แต่ทุกข์สิ ทุกข์ที่เกิดขึ้นชีวิตมีมากมีน้อยก็แล้วแต่ สัตว์ที่มีอายุไม่กี่วันเขาก็พอใจในชีวิตของเขา เขาก็ว่าชีวิตของเขายืนยาวมาก เราว่าเรา ๑๐๐ ปีเราก็ว่ายืนยาวมาก แต่สัตว์ที่มีอำนาจวาสนากว่านี้เขาก็มียืนยาวมาก

แต่ขณะที่ยืนยาวมันเสวยทุกข์เสวยสุขกี่รอบกี่หนต่อชีวิตของเขา มีความสุขขึ้นมาหนหนึ่ง เช่น เราทานอาหาร อะไรที่มันถูกใจเราๆ ก็มีความสุขหนหนึ่ง เราพอใจหนหนึ่ง ถ้าประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพ เราก็มีความสุขหนหนึ่งๆ แต่มันก็เวียนตายเวียนเกิดตามสภาวะแบบนั้น แต่ถ้าความเห็นเป็นไป สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาเพราะอะไร เพราะมันมีเหตุและปัจจัย เหตุปัจจัยทำให้เกิดสภาวะแบบนั้น

แต่เหตุปัจจัยที่ว่าความไม่รู้จริงของใจ มันเกิดปัจจัยที่เกิดดับสภาวะเกิดดับ วิปัสสนารู้จริงรู้จริงอย่างนั้นไง สภาวะที่เกิดดับ ถ้าไม่มีหลักวิชาการโลกไม่เจริญ เห็นไหม แต่ก่อนโบราณเราไหว้ไฟ กราบไหว้ไฟ บูชาไฟ บูชาพระอาทิตย์ บูชาอะไร เพราะเราไม่เข้าใจมัน แต่พอวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ สิ่งนี้เป็นสสาร สิ่งนี้เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง เราก็ไม่สนใจ เราก็เคารพไม่กราบไหว้ เพราะมันไม่มีเหตุไม่เป็นสิ่งที่ว่ามันมีอำนาจมากนัก

แต่เรื่องของสภาวะใจ สภาวะกิเลสเกิดดับนี่ ถ้าเราเห็นสภาวะของเราขึ้นมานี่เราจะเห็น สิ่งนี้เราไม่เห็น เราบูชาไฟ เราบูชาพระอาทิตย์ เพราะเราไม่เข้าใจสิ่งนั้น แต่พอมีปัญญาเราเข้าใจสิ่งนั้น เราก็ปล่อยสิ่งนั้นไม่ไปหลงใหลสิ่งนั้น สิ่งนั้นมีอำนาจอะไรกับเรา แต่ว่าความเกิดดับของใจที่เกิดดับในสถานะนี้ อันนี้มันเกิดขึ้นมาแล้วโดยอำนาจของกรรมอันหนึ่ง แล้วอำนาจของกรรมอำนาจของความไม่รู้ของใจที่มันวิปัสสนาเข้าไป จากภายในที่มันเกิดดับมันถึงเป็นอวิชชาไง มันเกิดๆ มาจากไหน? มันให้ความทุกข์ร้อนในหัวใจอย่างไร? มันให้ความสุขเราก็พอใจ

ความสุขความทุกข์นี้มันเกิดดับเป็นขันธ์ ๕ เป็นเวทนา สิ่งเป็นสุขเวทนา ทุกขเวทนานี้มีโดยธรรมชาติของมัน เพียงแต่คนจะเข้าใจใช้มันอย่างไรให้เป็นประโยชน์ สิ่งที่ให้เป็นประโยชน์ เห็นไหม ทำไมเราพอใจล่ะ นี่การกินอิ่มนอนอุ่นเป็นความสุขของโลกเขา โลกเขาต้องมีอยู่มีกินโดยสถานะนี่เขาจะมีความสุขมาก แล้วถ้ามีกินแล้ว มีกินโดยศักดิ์ศรีอีกอย่างหนึ่ง มีกินโดยศักดิ์ศรีโดยศักดิ์ของเขานี่ เขาต้องกินแบบประณีตของเขาอีกอย่าง

ทำไมต้องมาอดอาหาร ทำไมต้องผ่อนอาหารมาประพฤติปฏิบัติ มันจะเป็นความสุขได้อย่างไร จะเป็นความสุขได้อย่างไรในเรื่องของโลกเขา ความคิดมันหยาบๆ มันคิดเห็นสภาวะแบบนั้น แต่ถ้าย้อนกลับเข้ามาจากภายในนี่ ผู้ที่ปฏิบัติธรรม ย้อนกลับมา สิ่งที่เป็นสุขเป็นทุกข์เวทนา มันสะสมให้แต่ตัณหาความทะยานอยาก นี่ต้องการความสุขมาก แต่กรรมวิธีหาความสุขนั้นมามันจะเป็นบาปอกุศลขนาดไหนก็ไม่สนใจมัน ขอให้ได้ความสุขตามความพอใจอันนั้น ความพอใจอันนั้นจะเป็นความกุศลอกุศลก็ขอให้ได้มา เพราะต้องการสุขเวทนาทุกขเวทนา มันถึงต้องแสวงหา

แต่ความประพฤติปฏิบัติวิปัสสนาให้รู้แจ้งของใจ มันไม่ต้องแสวงหาเพราะมันอยู่ที่ภายใน แต่มันเป็นความละเอียดอ่อนจะต้องมีศรัทธามีความเชื่อย้อนกลับเข้ามาแห่งสภาวะภายใน ถ้าย้อนกลับเข้ามาแห่งสภาวะภายในมันจะย้อนกลับเข้ามาทำงานอันละเอียด

ถึงว่าคนหยาบคนละเอียดต่างกันตรงนี้ ถ้าคนหยาบมันก็ทำงานหยาบๆ ความเห็นหยาบๆ แต่คนละเอียดจะละเอียดเข้ามาจากภายในแล้วละเอียดเข้ามา วิปัสสนาๆ อย่างนี้ ไม่ใช่ไปยึดสมบัติของคนอื่นแล้วมาเป็นของเรา สมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้เป็นบัญญัติ เราก็ว่าบัญญัตินี้เป็นเรา เราต้องเป็นสภาวะแบบนั้น นี่ลูบๆ คลำๆ ตามสภาวะความเป็นจริงออกมาอย่างนั้น วิปัสสนารู้แจ้งมันรู้แจ้งจากการเห็นสภาวะที่ว่ากิเลสมันต้องตาย ตายอย่างไร ขาดอย่างไร มันจะเห็นตามความเป็นจริง

ถ้าคนไม่เห็นขนาดไหน พูดขนาดไหนก็ไม่จริง เราไม่เคยตกเขา เราไม่เคยประสบอุบัติเหตุต่างๆ เราจะไม่ซึ้งใจหรอก ถ้าเราเคยตกเขา เราเคยประสบอุบัติเหตุ สิ่งที่เราประสบนั้นเราพูดเมื่อไหร่มันก็จริงกับเราตลอดไป เพราะอะไร เพราะเราประสบ แต่ผู้ที่อ่านตำรา ผู้ที่เห็นเขาเล่าให้ฟัง เล่าอย่างไรมันก็ไม่เป็นความจริง มันก็ไม่เข้าถึงใจอันนั้น

การวิปัสสนารู้แจ้งมันก็รู้แจ้งอย่างนี้ ปัจจัตตังอันนี้เกิดขึ้นมาจากหัวใจ ถ้าหัวใจรู้แจ้งอย่างนี้ มันวิปัสสนาอย่างนี้ ทำลายกิเลสอย่างนี้ มันเป็นความจริงอย่างนี้ พูดขนาดไหนมันก็เป็นความจริง แต่ถ้าไม่เห็นความจริง สัญญาจำมา เห็นไหม พูดอย่างไรมันก็เป็นสัญญา มันเป็นเวทนา เป็นบัญญัติ บัญญัตินี้เป็นเวทนาในขันธ์ ๕ สิ่งที่เป็นขันธ์ ๕ เป็นสภาวะแบบนั้น การเกิดการตายอย่างนี้มันควรจะค้นคว้า มันควรจะเข้าใจ

ภาษาเป็นไปมันยังมีเวล่ำเวลาของมัน สิ่งที่เป็นประโยชน์ทางวัตถุมีเวลาของมัน จะสินค้าใหม่ขนาดไหน จะมีคุณค่าขนาดไหนก็แล้วแต่ เวลามันตกรุ่นมันตกอะไรไปนี่ มันจะหมดคุณค่าไปนะ ของออกใหม่จะมีราคามาก แล้วจะแสวงหาจะแย่งกันมาก แต่ของนั้นถ้ามีล้นตลาดแล้วของนั้นจะไม่มีราคาเลย จะไม่มีราคาจนเป็นขยะนะ เป็นขยะทางวิทยาศาสตร์ เป็นขยะต้องทำลายมัน เป็นขยะที่ทำลายสิ่งแวดล้อม เป็นขยะทุกอย่างเลย ถ้ามันมีมากเกินไป แต่ถ้ามีพอสมควรของเขาเป็นประโยชน์กับโลก นั่นเป็นประโยชน์กับโลก

แต่ความเป็นไป กิเลสเป็นนามธรรม ถ้าทำลายกิเลสไม่เป็นขยะ ฆ่าสิ่งที่เป็นประโยชน์คือฆ่ากิเลส กิเลสในหัวใจของสัตว์โลก การฆ่าที่มีประโยชน์ที่สุดการฆ่าที่ว่าเป็นผลที่สุดคือการฆ่าความไม่รู้จริงของเรา ถ้ามันรู้จริงขึ้นมา วิปัสสนามันรู้แจ้งจากภายใน มันจะรู้จริงตามความเป็นจริงของมัน แล้วภาษานี้จะเป็นภาษาคงที่ จะไม่เป็นตายเลย เป็นวิมุตติภาษาไง ภาษาของใจดวงนั้นจะสื่อกับใจดวงนั้นเข้าใจกับใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะสื่อเสมอกันด้วยความพ้นไปจากกิเลส เป็นวิมุตติภาษา

สิ่งที่ภาษาเกิดภาษาตายนะ โลกเป็นสภาวะแบบนั้น เราสื่อกัน เราใช้มัน เราใช้มันนะ มันเกิดมันตาย แล้วเราก็ต้องเกิดต้องตายในอายุของภาษานั้น เราเกิดเราตายนะ เราเกิดเราตายในสภาวะของกรรมอันนั้น เราเกิดเราตายในสภาวะของวัฏฏะอันนั้น ถ้าเป็นวิวัฏฏะล่ะ เราทำลายวัฏฏะอันนั้นนะ ภาษาหรือสิ่งมีชีวิตต่างๆ มันก็เป็นของมันอย่างนั้น โลกนี้เป็นอจินไตย อจินไตยนะจะพิสูจน์ขนาดไหนมันต้องแปรสภาพอย่างนี้ แล้วมันก็อย่างนี้ตลอดไป ในเมื่อสสารนี้มีอยู่มันก็จะแปรสภาพของมันไป

เมล็ดพืชต้นหนึ่ง เห็นไหม เวลาปลูกขึ้นไป เมล็ดๆ เดียว เวลามันเจริญเติบโตขึ้นมาต้นไม้ใหญ่มหาศาลเกิดมาจากนั้น นี่ก็เหมือนกัน สสารที่มันอยู่ในนี้มันทำลายกันมันผสมกัน มันทำเคมีกัน มันก็ต้องมีแปรสภาวะไปโดยธรรมชาติของมัน นี้เป็นอจินไตยของเรื่องโลกเขา แล้วเราจะหมุนไปในวัฏฏะในโลกเขาโลกนี้เป็นอจินไตยอย่างนี้ตลอดไปหรือ

ถ้าเราเกิดเราตายในอายุของเขา แล้วเราทำลายของเขา เราทำลายอวิชชาของเรา เพื่อจะไม่ให้เกิดไม่ให้ตายในวัฏฏะในเรื่องของอจินไตยอย่างนั้น เราพ้นออกมาจากอจินไตย อจินไตยนี้จะมีอยู่ เพราะพระศรีอริเมตไตรยจะมาตรัสรู้ข้างหน้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีตรัสรู้ไปข้างหน้า โลกจะเป็นอย่างนี้ แล้วเราจะหมุนอย่างนี้ตลอดไปหรือไม่ตลอดไป

เราต้องย้อนกลับมา ย้อนกลับมาที่ว่ากรรมรักษาชีวิตของเรานะ กรรมดีรักษาชีวิตของเรา เรายังทำสิ่งนี้ได้ ชีวิตนี้เหมือนพยับแดด ถ้าเราสนใจเราย้อนกลับมาวิปัสสนาแล้ววิปัสสนาให้รู้แจ้งขึ้นมาจากใจของเรานี้ นี้การเกิดการตายของกิเลส จะเห็นตามความเป็นจริงกับที่ว่าเราเกิดเราตายในใต้อำนาจของกิเลส กิเลสมีอำนาจเหนือเรา พญามารมีอำนาจเหนือจิตดวงนี้ แล้วพาเกิดพาตายในอำนาจของวัฏฏะอันนี้ตลอดไป กับเราฆ่ากิเลส กิเลสตายไปจากเรา แล้วเราเป็นผู้วิวัฏฏะจะไม่หมุนไปตามอจินไตยตามเรื่องของสภาวะของโลก เรื่องของภวาสวะ เรื่องของภพชาติตลอดไป นี้เป็นการเกิดและการตายของธรรม

การเกิดและการตายของภาษา การเกิดและการตายของโลกของสสารของวัตถุอันหนึ่ง กับการเกิดการตายของจิตนี้ไง จิตนี้เกิดขึ้นมาพร้อมอวิชชา แล้วจิตพาเกิดในร่างของมนุษย์ ในร่างของเทวดา อินทร์พรหมตลอดไป แล้วสภาวธรรมฆ่ากิเลสตายออกไปจากใจ ใจนี้หลุดออกมาเป็นวิวัฏฏะ ไม่อยู่ในวัฏฏะนั้น นี่การเกิดการตายอันประเสริฐที่สุด เอวัง